“AECS” มองสงครามการค้า-การเมืองในประเทศ กดหุ้นไทยแกว่งลง

>>

Hightlight

  • ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ มีแนวโน้มปรับตัวลดลง จากปัจจัยกดดันการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนของ Bloomberg Consensus ซึ่งคาดว่าจะทำให้ EPS ของ SET Index ปรับตัวลดลง และ PE Valuation ปรับตัวสูงขึ้น
  • ประเด็นการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้งรัฐบาลผสมชุดใหม่ โดยกกต. ประกาศรับรองรายชื่อส.ส. อย่างเป็นทางการภายในวันที่ 9 พฤษภาคม ตามกรอบเวลาที่กฏหมายกำหนด 150 วันหลังวันเลือกตั้ง 
  • มองว่าเป็นโอกาสเข้าลงทุน แนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive และกลุ่มGrowth

 

 

บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS  ระบุว่า ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ มีแนวโน้มปรับตัวลดลง จากปัจจัยกดดันการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนของ Bloomberg Consensus ซึ่งคาดว่าจะทำให้ EPS ของ SET Index ปรับตัวลดลง และ PE Valuation ปรับตัวสูงขึ้น และประเด็นการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้งรัฐบาลผสมชุดใหม่ โดยกกต.ประกาศรับรองรายชื่อส.ส. อย่างเป็นทางการภายในวันที่ 9 พฤษภาคมตามกรอบเวลาที่กฏหมายกำหนด 150 วันหลังวันเลือกตั้ง 

 

ส่วนปัจจัยต่างประเทศยังคงจับตา แม้ตัวเลข GDP ประมาณการครั้งที่ 1 ของสหรัฐฯ ไตรมาส 1/2562 ออกมามากกว่าที่ตลาดคาด แต่ยังกังวลกับสงครามการค้ารอบใหม่หลังมีข่าวสหรัฐขู่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากอัตราเดิม 10% เป็นอัตราใหม่ 25% ให้มีผลในวันศุกร์นี้และจะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 3.25 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ดีรองนายกรัฐมนตรีของจีน นายหลิว เหอ มีโอกาสที่จะเดินทางไปเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ในวันพฤหัสฯและศุกร์นี้ จึงประเมิน SET ในกรอบ 1,660-1,680 จุด


อีกทั้งราคาน้ำมัน WTI ปรับลดลงจากการพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ โดย EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 9.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 470.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว โดยปัจจุบันปรับลดลง 1.66% 


ดังนั้นมองว่าเป็นโอกาสเข้าลงทุน โดยแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive และกลุ่ม Growth  เช่น กลุ่มหุ้นกระแสเงินสดแข็งแกร่ง ได้แก่ กลุ่มพลังงานทางเลือก แนะนำ SSP โดยปี 2562 ตั้งเป้า COD เพิ่มอีก 65.6 เมกะวัตต์ จากโซลาฟาร์มมองโกเลีย 16 เมกะวัตต์ และโซลาร์ฟาร์มเวียดนาม 49.6 เมกะวัตต์ ส่งผลให้สิ้นปีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 157.1 เมกะวัตต์ จากปี 2561 ที่ 90.4 เมกะวัตต์

 

รวมทั้งยังแนะนำกลุ่มนิคมและโลจิสติกส์ ซึ่งกลุ่มนิคมได้อานิสงส์บวก ทั้งราคาขายและยอดขายพื้นที่ในเขต EEC โตเด่น แนะนำ AMATA ปัจจุบันมีพื้นที่รอการขาย 2,274 ไร่ พื้นที่รอการพัฒนาอีกราว 8,837 ไร่ และที่ดินสำหรับ Commercial Area รวม 1,227 ไร่ โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดินปีนี้ไว้ที่ 1,005 ไร่ จากปีก่อนที่มียอดขายรวม 863 ไร่ นอกจากนี้มองกลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ ได้อานิสงส์บวกจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ แนะนำ BEM  ตั้งเป้าปีนี้ธุรกิจรถไฟฟ้ามีจำนวนผู้โดยสารจะเติบโต 5-7% จากปีก่อนที่มีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ย 3.1 แสนเที่ยวคน/วัน


ทั้งนี้ตั้งเป้าปี 2564 จำนวนผู้โดยสารจะแตะ 5-5.5 แสนเที่ยวคน/วัน จากการเปิดเดินรถส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงินช่วงหัวลำโพง-หลักสอง กันยายน 2562 และช่วงเตาปูน-ท่าพระ มีนาคม 2563 ส่วนปริมาณจราจรบนทางด่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 1-2% จากปีก่อน ใกล้เคียงปีก่อนที่เติบโต 1.3% จากปีก่อน และ AOT (ช่วง มกราคม-มีนาคม 2562 เผยจำนวนเที่ยวบินโต 2.71% จากปีก่อน และจำนวนผู้โดยสารโต 2.41% จากปีก่อน

 

สุดท้ายกลุ่ม Mid to Small Cap  โดยเลือกหุ้นที่กำไรปี 2562 จะมีแนวโน้มโตเด่นเลือก TWPC ปี 2562 คาดกำไรโตเด่น 146.6% จากปีก่อน จากแผน Inorganic Growth และสภาวะขาดแคลนวัตถุดิบเริ่มดีขึ้น และ SVI หนุนด้วยเป้ารายได้โต 20% จากปีก่อน จากลูกค้าใหม่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด รวมถึงลูกค้าจากจีนที่มีความต้องการสินค้าสูงขึ้นหลังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน นอกจากนี้มีโครงการซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 130 ล้านหุ้น ระหว่างวันที่ 17 เมษายน -16 ตุลาคม 2562